เมนูนำทาง
เหตุการณ์ 6 ตุลา เบื้องหลังปี 2501–2516 เป็นช่วงที่ประเทศไทยปกครองในระบอบเผด็จการทหารที่มีการควบคุมทางการเมืองและไม่มีการเลือกตั้ง ระหว่างนั้นโครงสร้างชนชั้นของสังคมไทยเกิดชนชั้นกระฎุมพีใหม่หลังเศรษฐกิจบูมจากการไหลเข้าของทุนสหรัฐและญี่ปุ่น เกิดเป็นฝ่ายขวาใหม่ซึ่งเข้าเป็นพันธมิตรกับชนชั้นปกครองเดิม[4]:13–4 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา มีการเดินขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนรัฐธรรมนูญเผด็จการและการปราบปรามประชาชนจนมีผู้บาดเจ็บล้มตาย สุดท้าย "สามทรราช" จอมพล ถนอม กิตติขจร เดินทางออกนอกประเทศ องคมนตรี สัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน เป็นยุค "ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน" (หรือเรียกย้อนหลังว่า "การทดลองประชาธิปไตย") แต่รัฐบาลเผชิญกับปัญหาหลายด้าน วิกฤตการณ์น้ำมันและความปั่นป่วนในเศรษฐกิจโลกเริ่มมีผลกระทบทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อในประเทศไทยในปี 2517[4]:18 รัฐบาลสัญญาตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของกรรมกรซึ่งขัดต่อผลประโยชน์ของชนชั้นกลางท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะงักงัน[4]:18 สุดท้ายรัฐบาลสัญญาลาออกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2517 และมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 26 มกราคม 2518 ก่อนหน้านั้นในเดือนธันวาคม 2517 ผู้คบคิดรัฐประหารนำจอมพล ถนอม กิตติขจร เดินทางกลับประเทศไทย แต่เขาต้องออกนอกประเทศแทบทันที เพราะมติมหาชนคัดค้านการหวนกลับของระบอบทหารในขณะนั้นอย่างหนักแน่น[5]:226
ช่วงปี 2518 ถึง 2519 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเป็นรัฐบาลผสม 12 พรรค เขาวางนโยบายให้สหรัฐถอนทหารออกจากไทย[6]:67 รัฐประหารเป็นไปไม่ได้ตราบเท่าที่รัฐบาลยังได้รับการหนุนหลังจากพลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้อยู่ในอุปถัมภ์ของพลเอก กฤษณ์ สีวะรา ซึ่งเป็นวีรบุรุษที่ได้รับความนิยมจากบทบาทในเหตุการณ์ 14 ตุลา; ฐานะของสหรัฐในอินโดจีนล้มลงอย่างรวดเร็ว กรุงไซ่ง่อนแตกและเกิดการรวมประเทศเวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์ในเดือนเมษายน 2518 และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยึดอำนาจของขบวนการปะเทดลาวอันเป็นคอมมิวนิสต์ในประเทศลาวในเดือนธันวาคมปีเดียวกันมีผลใหญ่หลวงต่อมติมหาชนของไทย หลายฝ่ายเกรงว่าประเทศไทยจะเป็นเป้าหมายต่อไปของคอมมิวนิสต์[6]:126–7 รัฐบาลคึกฤทธิ์ได้เปลี่ยนนโยบายการทูตที่สำคัญโดยเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518[6]:81
ผลลัพธ์ทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ของเหตุการณ์ 14 ตุลาทำให้ฝ่ายซ้ายมีสำนึกความรื่นเริงและความคิดสร้างสรรค์ ส่วนฝ่ายขวามองภาพลวงว่ารัฐบาลเสรีนิยมที่เพิ่งตั้งขึ้นเป็นสาเหตุของการระบาดของความคิดบ่อนทำลายประเทศ และโทษประชาธิปไตยสำหรับความล้มเหลวของเผด็จการทหารหลายทษวรรษก่อนหน้านี้[4]:15 ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) เป็นองค์การประสานงานระหว่างองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ และมีบทบาทมาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา ได้มีการรณรงค์เพื่อเป้าหมายทางสังคมอื่นอยู่เรื่อย ๆ[6]:93–4 ฝ่ายขวาได้รณรงค์ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและลอบฆ่าเป็นเวลาสองปี[4]:13 การโฆษณาใส่ร้าย ศนท. รวมถึงเพลงอย่าง "เราสู้", "หนักแผ่นดิน"[6]:130 มีการกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตั้งแต่ปี 2517[6]:132–3
วันที่ 2 มกราคม 2519 กรรมกรทั่วกรุงเทพมหานครนัดหยุดงานทั่วไปเป็นจำนวนหลายหมื่นคนเพื่อคัดค้านนโยบายเลิกจำหน่ายข้าวสารราคาถูกแก่ประชาชน[6]:88 ชวนให้นายทหารที่เคยถือรัฐธรรมนูญนิยมหลายคนมองว่า รัฐประหารอาจจำเป็นเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพ คึกฤทธิ์ยอมตามข้อเรียกร้องของสหภาพทำให้ฝ่ายขวาเดือดดาล การชุมนุมจำนวน 15,000 คน ซึ่งจัดโดยกลุ่มกึ่งทหารนวพล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร เรียกร้องให้คืนอำนาจแก่ทหาร[5]:229 การชุมนุมดังกล่าวนำโดยพระกิตติวุฒโฑ พระภิกษุเจ้าของวาทะ "ฆ่าคอมมิวนิสต์ ไม่บาป" กลุ่มสมาชิกรัฐสภาเสรีนิยมจากพรรคประชาธิปัตย์แตกกับรัฐบาลผสมและเข้ากับฝ่ายค้านซึ่งเป็นฝ่ายซ้าย[7]:376 พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ คัดค้านความคิดรัฐบาลผสมเอียงซ้าย ซึ่งบีบให้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งใหม่กำหนดมีขึ้นวันที่ 4 เมษายน[7]:376 ซึ่งกระชั้นเกินไปแม้สำหรับนายทหารสายกลาง ตัวอย่างรัฐบาลผสมเอียงซ้ายของลาวที่พ่ายต่อคอมมิวนิสต์ยังสดใหม่ พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงยื่นแผนรัฐประหาร[5]:230 ศาสตราจารย์ บุญชนะ อัตถากร เล่าว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 พลเรือเอกสงัดนำความบ้านเมืองกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ว่าอาจมีความจำเป็นต้องรัฐประหาร บุญชนะบันทึกว่าสงัดได้สนทนากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังนี้
สงัด: อยากได้พรจากพระโอษฐ์ให้ทางทหารดำเนินการได้ตามที่คิดไว้ในหลวง: ให้คิดเอาเองว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป...
สงัด: ถ้าทางทหารยึดอำนาจการปกครองได้แล้ว… ใครควรจะเป็นนายกรัฐมนตรีในหลวง: จะทำอะไรลงไปก็ควรปรึกษานักกฎหมาย คือ คุณธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกาเสียด้วย[8]
ชื่อ | ตำแหน่งและกลุ่ม |
---|---|
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช | นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีมหาดไทย, รัฐมนตรีกลาโหม(37/2) |
พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ | ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, รัฐมนตรีกลาโหม(38) กลุ่ม "สี่เสาเทเวศร์" |
พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร | รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ กลุ่ม "ซอยราชครู" |
พลเอก ฉลาด หิรัฐษิริ | รองผู้บัญชาการทหารบก |
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ | ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด, เสนาธิการทหาร กลุ่ม "สี่เสาเทเวศร์" |
สมัคร สุนทรเวช | รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย(37) |
พลตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ | รองอธิบดีกรมตำรวจ กลุ่ม "ซอยราชครู" |
(เลข) หมายถึง คณะรัฐมนตรี บทวิเคราะห์กลุ่มแยกในกองทัพ ดูที่ [9] |
ตรงข้ามกับพรรคพวกของพลเอก กฤษณ์ สีวะรา กับพลเรือเอกสงัด, กลุ่มของพลตรี ประมาณ อดิเรกสาร ("ซอยราชครู") รวมเอาผู้คบคิดซึ่งไม่เคยยอมรับการปกครองแบบรัฐสภาหรือผู้ปลดจอมพล ถนอม กิตติขจร อันได้แก่ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายขวา พรรคชาติไทย และนายทหารแห่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) อย่างสมบูรณ์ แผนสมคบรัฐประหารทั้งสองจะดำเนินเป็นเอกเทศต่อกัน
พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากทั้งพลเอก กฤษณ์ สีวะรา และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐคว้าที่นั่งในสภาได้ถึงร้อยละ 40 ทำให้หัวหน้าพรรค หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช กลับเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย[7]:395 รัฐบาลผสมประกอบด้วยพรรคการเมืองฝ่ายขวาสี่พรรค ประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย ธรรมสังคมและสังคมชาตินิยม "กลุ่มซอยราชครู" ถือเป็นฝ่ายขวาในรัฐบาล; พรรคกิจสังคมของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชกลับเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคฝ่ายซ้ายแทบไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเลย[7]:382
การเสียชีวิตอย่างกระทันหันของพลเอกกฤษณ์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2519 ส่งผลให้รัฐบาลพลเรือนขาดผู้นำกองทัพที่จะควบคุมให้ นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความแตกแยกในกองทัพด้วย พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ เขียนในปี 2545 ว่า "กองทัพสูญเสียผู้นำคนสำคัญที่คอยทำหน้าที่ประคับประคองความสามัคคีภายในกองทัพไปด้วย ทางสังคมเองก็ยอมรับว่าได้สูญเสียนายทหารที่เคยค้ำจุน หรือให้การประกันลมหายใจระบอบประชาธิปไตยไปเสียแล้ว"[10] ผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทน คือ พลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา สมาชิกพรรคพวกของพลตรีประมาณ
ด้วยมุมมองนักศึกษาเป็นฝ่ายสืบรับอุดมการณ์สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ ชนชั้นปกครองไทยจึงดำเนินการทางลับเพื่อบ่อนทำลายขบวนการนิสิตนักศึกษา โดยมุ่งตั้งตนเป็นปรปักษ์กับกลุ่มนักศึกษา มีการยกกำลังเข้าทำร้ายนักศึกษาและทำลายสถานที่ถึงภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หลายครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน
กลุ่มทหารอาสาสมัครฝ่ายขวาหลายกลุ่มมีบทบาทสำคัญเป็นผู้ก่อการสังหารหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตำรวจตระเวนชายแดนติดอาวุธและฝึกกลุ่มเหล่านี้เมื่อปลายปี 2517 เพื่อเตรียมการปราบปรามรุนแรง พอล แฮนด์ลีย์ ผู้ประพันธ์ เดอะคิงเนเวอร์สไมส์ อธิบายสถานการณ์นั้นว่าเป็น "ลัทธิศาลเตี้ยหลวง" (royal vigilantism)[5]:214 ใจ อึ๊งภากรณ์ นักเขียนมาร์กซิสต์ เปรียบเทียบกลุ่มเหล่านี้กับกลุ่มกึ่งทหารฟาสซิสต์ในยุโรปช่วงทศวรรษ 1930[11] กลุ่มเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางมั่งมีและชนชั้นสูง[6]:28 แอนเดอร์สันชี้เหตุที่ชนชั้นกลางเปลี่ยนจากสนับสนุนประชาธิปไตยมาสนับสนุนเผด็จการและความรุนแรงว่า 1. ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจจากวิกฤตราคาน้ำมันปี 2516, 2. รัฐบาลคอมมิวนิสต์เถลิงอำนาจในประเทศเพ่อนบ้าน, 3. การประท้วงบ่อยครั้งของกรรมกร ชาวนาและนักศึกษา, 4. นักศึกษาจบใหม่ตกงานเป็นอันมาก[6]:28–9 กลุ่มเหล่านี้เสื่อมลงหลังความพยายามรัฐประหารในปี 2520 ซึ่งคาดว่ามีนายทหารที่มีความสัมพันธ์กับ "กลุ่มนอกระบบ" เหล่านี้อยู่เบื้องหลัง[6]:35
ขบวนการนวพลขบวนการนวพลก่อตั้งขึ้นในปี 2517 โดย วัฒนา เขียววิมล และใช้คำขวัญว่า "ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์"[12] ชื่อนี้ยังหมายถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กลุ่มลับนี้มีสมาชิกราว 50,000 คนราวกลางปี 2518 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรให้ความช่วยเหลือทางทหารอย่างลับ ๆ และดำเนินการฝึกซ้อมอย่างทหารขั้นก้าวหน้าแก่สมาชิกที่วิทยาลัยจิตตภาวัน โรงเรียนสอนศาสนาพุทธในจังหวัดชลบุรี ซึ่งก่อตั้งโดยพระภิกษุฝ่ายขวา พระกิตติวุฒโฑ[5]:225 กล่าวกันว่า การฝึกนี้รวมการฝึกการลอบสังหารด้วย และคาดว่าการฆ่านักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายจำนวนหนึ่งเป็นฝีมือของขบวนการนวพล[5]:225–6 ธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหาร ยังเป็นสมาชิกอาวุโสของกลุ่มนี้ด้วย[5]:230
ขวนการกระทิงแดงขบวนการกระทิงแดงก่อตั้งขึ้นในปี 2517 โดย พันเอก (พิเศษ) สุตสาย หัสดิน นายทหารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร[13] กลางปี 2518 กลุ่มนี้มีสมาชิก 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาอาชีวะ ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ 14 ตุลา[6]:133–4 เป็นผลจากความพยายามของฝ่ายขวาในการแบ่งแยกนักศึกษาอาชีวะออกจาก ศนท.[6]:134 ขบวนการกระทิงแดงเป็นกองเยาวชนของขบวนการนวพล[14] มีลักษณะคล้ายกับเอสเอในประเทศเยอรมนีช่วงทศวรรษ 1930 สมาชิกขบวนการกระทิงแดงปลุกปั่นการต่อสู้ระหว่างนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายกับสหภาพแรงงาน[5]:226 ขบวนการกระทิงแดงนี้สามารถออกมาขู่ฆ่าหรือปาระเบิดกลางเมืองได้โดยไม่ถูกจับกุม[6]:135 มีความร่วมมือกับตำรวจอย่างใกล้ชิด เช่น มีวิทยุติดต่อกับตำรวจ และใช้รถตำรวจตระเวนรอบเมือง[6]:135 นักการเมืองพรรคชาติไทย เช่น พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ มีส่วนสนับสนุน[6]:28 พระมหากษัตริย์ทรงเคยทดสอบยิงอาวุธของขบวนการกระทิงแดงครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีเผยแพร่กว้างขวาง[5]:232
ลูกเสือชาวบ้านลูกเสือชาวบ้าน (หรือ กองอาสารักษาดินแดน) ก่อตั้งขึ้นในปี 2497 เพื่อจัดการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย ตลอดจนการสนองต่อเหตุฉุกเฉินหรือภัยพิบัติธรรมชาติ ได้รับการขยายในปี 2517 เมื่อกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเข้าควบคุมลูกเสือชาวบ้าน[5]:223 มีการขยายเข้าไปในเขตเมืองเพื่อตอบโต้การเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายซ้าย[5]:224 พระบรมวงศานุวงศ์ (มักเป็นพระราชินี) เป็นผู้พระราชทานผ้าพันคอแก่ลูกเสือชาวบ้าน[5]:224 ช่วงหนึ่ง คนวัยทำงานถึง 1 ใน 5 เคยเป็นสมาชิกลูกเสือชาวบ้าน[6]:34–5 ในช่วง 6 ตุลาคม 2519 พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ล้วนมีบทบาทในการเรียกระดมกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน[15]:250 ขบวนการนี้ได้กลายเป็นม็อบชนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งรัฐปล่อยให้กลุ่มสลายไปหลังรัฐประหารปี 2519[6]:35
กลุ่มอื่นกลุ่มฝ่ายขวาอื่น ๆ[lower-alpha 2] เช่น ชมรมแม่บ้าน นำโดย วิมล เจียมเจริญ (ทมยันตี) ซึ่งรวบรวมภรรยาข้าราชการพลเรือนและทหาร และแม่บ้านเป็นสมาชิก มีบทบาทเด่นในการปกป้องภาพของสหรัฐ (เนื่องจากนักศึกษาเรียกร้องให้ถอนฐานทัพสหรัฐ)[6]:142, ชมรมวิทยุเสรี เป็นกลุ่มสถานีวิทยุของทหารที่มีสถานีวิทยุยานเกราะเป็นแกนกลาง มีพันโท อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยาเป็นโฆษกสำคัญ มีบทบาทโจมตี ศนท. ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ยังเป็นแกนกลางประสานงานปราบปรามนักศึกษาอย่างเปิดเผย[6]:140–1
ลำดับเหตุการณ์ | |
---|---|
17 ส.ค. | ประภาสกลับประเทศ |
19–22 ส.ค. |
|
19 ก.ย. |
|
23 ก.ย. | ฝ่ายซ้ายชุมนุม, เสนีย์ลาออก |
24 ก.ย. | พนักงานการไฟฟ้า 2 คนถูกฆ่าที่ จ. นครปฐม |
25 ก.ย. | ราชโองการให้เสนีย์เป็นนายกฯ อีก |
ปลาย ก.ย., ต้น ต.ค. | ชุมนุมประท้วงติด ๆ กัน |
4 ต.ค. |
|
5 ต.ค. | วิทยุยานเกราะและ ดาวสยาม ประโคมข่าวหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ |
ราวกลางปี 2519 มีข่าวว่าจอมพล ประภาส จารุเสถียร จะเดินทางกลับประเทศไทยโดยเครื่องบินจากไต้หวัน จอมพลประภาสกลับประเทศในวันที่ 17 สิงหาคม โดยพลเอกทวิชเป็นผู้จัดการให้ เพื่อเป็นการทดสอบมติมหาชน[11] กลุ่มนักเรียนอาชีวะขว้างระเบิดใส่นักศึกษาที่มาชุมนุมเรียกร้องให้ลงโทษประภาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 38 คน[6]:149 แต่ขณะนั้นยังไม่มีความพร้อมรัฐประหาร จึงให้ประภาสกลับออกนอกประเทศไปก่อนในวันที่ 22 สิงหาคม โดยได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อนด้วย[6]:149 อาศัยปฏิกิริยาดังกล่าว พลตรีประมาณตัดสินใจนำถนอมกลับประเทศไทยหวังจุดชนวนการเดินขบวนประท้วงซึ่งอาจใช้เป็นข้ออ้างรัฐประหารได้[11] หม่อมราชวงศ์เสนีย์พยายามดักการคบคิดเพิ่มเติมโดยถอดพลเอกทวิชจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สมัคร สุนทรเวชและสมบุญ ศิริธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้คบคิดรัฐประหารด้วยกัน วิจารณ์หม่อมราชวงศ์เสนีย์อย่างรุนแรงขัดระเบียบการของรัฐสภา[17][18] นำมาสู่การปลดทั้งสองในวันที่ 23 กันยายน 2519
สมัคร สุนทรเวช พระสหายที่สมเด็จพระราชินีนาถไว้วางพระทัย บินไปยังประเทศสิงคโปร์และบอกแก่จอมพลถนอมว่า พระราชวังอนุญาตให้เขาเดินทางกลับประเทศไทย[5]:234 วันที่ 7 กันยายน มีการอภิปรายในหัวข้อ "ทำไมจอมพล ถนอม จะกลับมา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้อภิปรายหลายคนสรุปว่า ส่วนหนึ่งเป็นแผนการที่วางไว้เพื่อวางแผนรัฐประหาร[6]:150 เมื่อจอมพลถนอมเดินทางกลับในวันที่ 19 กันยายน เขาปฏิเสธแรงจูงใจทางการเมือง และกล่าวว่ากลับมาเพื่อสำนึกความผิดที่เตียงบิดาปัจฉิมวัยเท่านั้น[19] เขาอุปสมบทเป็นภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวัดซึ่งสัมพันธ์กับราชวงศ์จักรีอย่างใกล้ชิด[lower-alpha 3] เจ้าอาวาสวัดซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้อุปสมบทให้[15]:248 ธงชัยเขียนว่าสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของไทยสมคบกัน[15]:248 พิธีการถูกปิดอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อเลี่ยงการคัดค้านการบวชและกลุ่มกระทิงแดงล้อมวัดไว้[5]:234 จากนั้นมีวิทยุยานเกราะตักเตือนมิให้นักศึกษาก่อความวุ่นวาย มิฉะนั้นอาจต้องมีการประหารชีวิตสัก 30,000 คนเพื่อให้บ้านเมืองรอดปลอดภัย[6]:150 วันที่ 23 กันยายน เวลา 21.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จไปวัดบวรนิเวศ ระหว่างการเยือน คุณหญิง เกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์สมเด็จพระราชินีนาถ แถลงว่า สมเด็จพระราชินีทราบว่าจะมีคนมาเผาวัด "ขอให้ประชาชนช่วยกันดูแลป้องกัน อย่าให้ผู้ใจร้ายมาทำลายวัด"[6]:151 วันที่ 24 กันยายน 2519 สมัครแถลงว่า "การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จวัดบวรนิเวศกลางดึกแสดงให้เห็นว่า พระองค์ต้องการให้พระถนอมอยู่ในประเทศต่อไป"[6]:151–2 และเมื่อวันที่ 26 กันยายน พระกิตติวุฒโทแถลงย้ำว่า "การบวชของพระถนอมครั้งนี้ได้กราบบังคมทูลขออนุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งขอเข้ามาในเมืองไทยด้วย ดังนั้นพระถนอมจึงเป็นผู้บริสุทธิ์"[6]:152
การแสดงละครล้อกรณีฆ่าแขวนคอพนักงานการไฟฟ้านครปฐม, 4 ตุลาคม 2519ศนท. และสภาแรงงานแห่งประเทศไทยคัดค้านสถานะภิกษุของจอมพลถนอม สภาแรงานฯ ขอให้รัฐบาลเนรเทศพระถนอม[20]:14–5 แนวร่วมยุวสงฆ์แห่งประเทศไทยมีหนังสือถึงมหาเถรสมาคมให้พิจารณาว่าการบวชพระถนอมผิดวินัยหรือไม่[20]:15 แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชก็ยอมรับว่าการบวชไม่ถูกต้อง[6]:151 บิณฑบาตรเช้าของพระถนอมมีขบวนทหารและตำรวจคุ้มกันอย่างหนาแน่น[2]:5 ในช่วงแรกสาธารณะยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างใดนักเพราะเกรงว่าจะดูขัดขวางศาสนา แต่ไม่นานนักศึกษาก็มองผ่านกลยุทธ์นี้โดยเริ่มจัดการแสดงล้อขบวนพระและคนคุ้มกันติดอาวุธ[2]:5 ต่อมาเริ่มมีการจัดการนัดชุมนุมขนาดใหญ่ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ไม่อาจจัดการอะไรได้ จึงขอลาออกในวันที่ 23 กันยายน[20]:15 การชุมนุมของฝ่ายนิสิตนักศึกษาที่ลานโพในระยะแรกมีประชาชนทั่วไปเข้าร่วมไม่มากเมื่อเทียบกับเมื่อครั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา แม้จะมีกิจกรรมแสดงละครล้อการเมืองเพื่อเรียกความสนใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุม กิจกรรมอันหนึ่งคือการปิดโปสเตอร์แสดงจุดยืนและเชิญชวนให้เข้าร่วมการชุมนุมทั่วกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั่วประเทศ เป็นเหตุให้นักศึกษาและแนวร่วมซึ่งออกปิดโปสเตอร์ดังกล่าวถูกลอบทำร้ายบาดเจ็บหลายครั้ง ในวันที่ 24 กันยายน เกิดคดีที่วิชัย เกตุศรีพงศา กับชุมพร ทุมไมย นายช่างตรีสังกัดการไฟฟ้า เขตนครปฐม[20]:15 ซึ่งร่วมกิจกรรมปิดโปสเตอร์ประท้วงที่ตำบลพระประโทน จังหวัดนครปฐม ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตแล้วนำศพไปแขวนคอไว้หน้าประตูทางเข้าที่ดินจัดสรรแห่งหนึ่ง สันนิษฐานว่าตำรวจนครปฐมเป็นผู้ลงมือ[6]:152 คดีฆ่าดังกล่าวยิ่งเพิ่มกระแสของการประท้วง การชุมนุมใหญ่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันที่ 28 กันยายนมีผู้เข้าร่วมหลักหมื่นคน[20]:16 มีวีรชน 14 ตุลาและญาติเข้าร่วมการประท้วงด้วย ญาติวีรชนอดอาหารประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ย้ายไปชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม[2]:5
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) จัดการชุมนุมหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม[2]:5 มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอบและปิดวิทยาเขต ด้วยหวังไม่ให้เกิดเหตุตำรวจอาละวาดซ้ำรอยเมื่อปีกลาย ทว่า ผู้เดินขบวนพังประตูเข้าไปยึดวิทยาเขตและยึดพื้นที่ประท้วง[19] นอกจาก ศนท. แล้วยังมีสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงาน (Federation of Trade Unions) เป็นองค์การผู้ประสานงานหลักด้วยอีกองค์การหนึ่ง[14] สหภาพแรงงาน 43 แห่งเรียกร้องให้รัฐบาลเนรเทศจอมพลถนอมมิฉะนั้นจะนัดหยุดงานทั่วไป[19] การประท้วงคราวนี้ยิ่งกว่าคราวที่จอมพลประภาสกลับมาเสียอีก ส่วนฝ่ายรัฐบาลเห็นควรยับยั้งไว้ โดยมอบหมายให้ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์และดำรง ลัทธพิพัฒน์เป็นผู้แทนเจรจา แต่ก็ไม่เป็นผล ในวันที่ 1 ตุลาคม ฝ่ายขวารวมกันออกแถลงการณ์ว่า "ได้ปรากฏแน่ชัดแล้วว่า ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นักศึกษา สภาแรงงานแห่งประเทศไทยและนักการเมืองฝ่ายซ้ายถือเอาพระถนอมมาเป็นเงื่อนไขสร้างความไม่สงบขึ้นภายในประเทศชาติถึงขั้นจะก่อวินาศกรรมทำลายวัดบวรนิเวศวิหาร และล้มล้างรัฐบาล เรื่องนี้กลุ่มต่าง ๆ ดังกล่าวประชุมลงมติว่า จะร่วมกันปกป้องวัดบวรนิเวศทุกวิถีทางตามพระราชเสาวนีย์"[6]:153 ป๋วยเล่าว่าตนทราบจากนักศึกษาว่ากำหนดประท้วงต้นเดือนตุลาคมเพราะมีนายทหารเกษียณอายุราชการหลายนาย และการโยกย้ายตำแหน่งประจำปีอาจเป็นชนวนรัฐประหารได้อีกทางหนึ่ง[2]:5 สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทยเข้าร่วมนักศึกษาโดยกำหนดนัดหยุดงานทั่วไปในวันที่ 8 ตุลาคม[2]:5
ช่วงบ่ายวันที่ 4 ตุลาคม ชมรมศิลปการแสดงของธรรมศาสตร์จัดแสดงละครรำลึกถึงเหตุการฆ่าคนดังกล่าวที่ลานโพ แล้วในช่วงบ่ายเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ท้องสนามหลวง ก่อนย้ายเข้าสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ในช่วงค่ำ[2]:5 วันที่ 5 ตุลาคม มีการชุมนุมประท้วงในอีกหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา เป็นต้น[6]:72 วันเดียวกันมีหนังสือพิมพ์กรุงเทพมหานครสองฉบับ ได้แก่ บางกอกโพสต์ และ ดาวสยาม ลงภาพการแสดงล้อการแขวนคอ สำหรับ ดาวสยาม ลงข่าวว่านักศึกษาที่แสดงเป็นเหยื่อ (วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์และอภินันท์ บัวหภักดี) มีใบหน้าคล้ายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารที่เพิ่งเสด็จฯ กลับประเทศจากประเทศออสเตรเลียในวันที่ 1 ตุลาคม 2519 ผู้ประท้วงจึงถูกกล่าวหาว่าแขวนคอรูปจำลองพระบรมวงศานุวงศ์ บางคนมองว่ามีการตกแต่งภาพให้นักศึกษาดูเหมือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารมากขึ้น แต่สำเนาทุกฉบับที่ยังเหลืออยู่เป็นภาพเดียวกัน[6]:26 จากนั้น สถานีวิทยุยานเกราะของกองทัพบก นำโดย พันโท อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุทธยา กล่าวหาว่านักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และประกาศให้ "ฆ่ามัน" และ "ฆ่าพวกคอมมิวนิสต์"[5]:235 ทั้งนี้ จากหลักฐานพบว่า บางกอกโพสต์ นำเสนอข่าวจริง ส่วน ดาวสยาม และสถานีวิทยุยานเกราะประโคมข่าวเท็จ[6]:26 เหตุการณ์นี้เปลี่ยนวาทกรรมจากการจ้องทำลายศาสนาพุทธในประเทศไทยมาเป็นความพยายามของนักคอมมิวนิสต์ในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และทำลายชาติไทย[15]:249 เย็นนั้น มีกำลังกึ่งทหารนิยมเจ้า 4,000 คนอยู่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[5]:235
คืนวันที่ 5 ตุลาคมต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม กลุ่มฝ่ายขวาพยายามก่อกวนผู้ชุมนุม เช่น ยิงปืนสั้นหรือเผาสิ่งของติดรั้วมหาวิทยาลัย[6]:177 ขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังประชุมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ จัดประชุมในเวลา 24.00 น.[21] แต่การสรุปเหตุการณ์ของฝ่ายตำรวจมีความสับสน ทั้งยังมีการส่งตำรวจบางนายเข้าปะปนกับกลุ่มนักศึกษาด้วย สำหรับธงชัย เขาว่าเหตุการณ์ถึงเวลา 2.00 น. ของวันที่ 6 ตุลาคมไม่มีสิ่งชี้บอกใดถึงความจำเป็นของการใช้กำลัง[15]:250 วิทยุยานเกราะเรียกร้องให้ตำรวจดำเนินคดีต่อนักศึกษา และประกาศว่าจะจัดการชุมนุมที่อาคารรัฐสภาในเวลา 9.00 น.[2]:6 5.00 น. การยิงปะทะกันรุนแรงขึ้น กลุ่มที่มาล้อมมหาวิทยามีผู้เสียชีวิต 1 รายขณะนำส่งโรงพยาบาล[2]:6
เมนูนำทาง
เหตุการณ์ 6 ตุลา เบื้องหลังใกล้เคียง
เหตุการณ์ 6 ตุลา เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคเพอร์เมียน–ไทรแอสซิก เหตุการณ์พายุหมุนนาร์กิส พ.ศ. 2551 เหตุการณ์รถตู้สาธารณะถูกชนบนทางยกระดับอุตราภิมุข พ.ศ. 2553 เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 เหตุการณ์ทุจริตการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2544 เหตุการณ์โกก้าง เหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ พ.ศ. 2533 เหตุการณ์ 4.2 พันปีแหล่งที่มา
WikiPedia: เหตุการณ์ 6 ตุลา http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2007/08/2... http://bellschool.anu.edu.au/sites/default/files/p... http://www.bangkokpost.com/lifestyle/art/1098817/i... http://bangkokpundit.blogspot.com/2007/08/samak-su... http://edition.cnn.com/2008/WORLD/asiapcf/02/18/ta... http://content.time.com/time/magazine/article/0,91... http://data3.blog.de/media/661/2347661_35e0d731fd_... http://www2.hawaii.edu/~seassa/explorations/v1n1/a... http://ijaps.usm.my/wp-content/uploads/2019/01/IJA... http://www.2519.net/newsite/2016/5-%E0%B8%95-%E0%B...